วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วยที่ 2 คอมพิวเตอร์และการใช้งาน
1.รู้จักเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง |
รูปที่ 1 แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในของเครื่อง
2.สร้างแผ่นบู๊ตฉุกเฉินขึ้นมา |
รูปที่ 2 แสดงแถบการสร้างแผ่นบู๊ตดอส
3. ปรับแต่งฮาร์ดดิสก์อย่างสม่ำเสมอ |
รูปที่ 3 แสดงหน้าต่างการสแกนดิสก์
4. วางแผนในการเก็บรักษา |
5. สำรองข้อมูลที่มีค่าเอาไว้ |
6. ป้องกันไวรัส |
7. ติดตั้งโปรแกรมไว้ที่เดิม |
รูปที่ 4 แสดงหน้าต่างการ Add/Remove โปรแแกรม
8. ใช้แต่ของใหม่เสมอ |
9. รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ |
10. ปิดเครื่องด้วยวิธีการที่ถูกต้อง |
การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น
1. การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1. เสียบปลั๊กไฟทุกเส้นที่ต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์
2. กดปุ่ม Power เพื่อเปิดเครื่อง จะมีไฟติดที่เครื่องและแป้นพิมพ์
3. เปิดสวิตช์จอภาพ จะมีตัวอักษรขึ้นบนจอภาพ และเริ่มเข้าสู่โปรแกรม
4. ใช้เมาส์คลิกที่ปุ่ม Start จะปรากฏกลุ่มงานให้เลือกใช้
5. ใช้เมาส์คลิกที่โปรแกรม (Programs) จะปรากฏแถบรายชื่อโปรแกรมต่าง ๆ ให้เลือก
6. คลิกชื่อโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน โปรแกรมงานก็จะถูกเปิดขึ้นทันที
1. เสียบปลั๊กไฟทุกเส้นที่ต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์
2. กดปุ่ม Power เพื่อเปิดเครื่อง จะมีไฟติดที่เครื่องและแป้นพิมพ์
3. เปิดสวิตช์จอภาพ จะมีตัวอักษรขึ้นบนจอภาพ และเริ่มเข้าสู่โปรแกรม
4. ใช้เมาส์คลิกที่ปุ่ม Start จะปรากฏกลุ่มงานให้เลือกใช้
5. ใช้เมาส์คลิกที่โปรแกรม (Programs) จะปรากฏแถบรายชื่อโปรแกรมต่าง ๆ ให้เลือก
6. คลิกชื่อโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน โปรแกรมงานก็จะถูกเปิดขึ้นทันที
การเปิดและการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เบื้องต้น
2. การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1. คลิกที่ปุ่มปิดโปรแกรม (Close) X
2. คลิกที่ปุ่ม Start
3. เลือก Shut down
4. เลือกตัวเลือกที่ต้องการ
5. เลือกปุ่ม OK แล้วเครื่องจะถูกปิดลง
1. คลิกที่ปุ่มปิดโปรแกรม (Close) X
2. คลิกที่ปุ่ม Start
3. เลือก Shut down
4. เลือกตัวเลือกที่ต้องการ
5. เลือกปุ่ม OK แล้วเครื่องจะถูกปิดลง
2.1
2.2
2.3
3. การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word)
โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word) เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้ในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เช่น จดหมาย รายงาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้าง ตกแต่งสีและจัดรูปแบบเอกสารให้สวยงาม และสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว
โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word) เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้ในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เช่น จดหมาย รายงาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้าง ตกแต่งสีและจัดรูปแบบเอกสารให้สวยงาม และสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว
การเรียกใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้
1. คลิกปุ่ม Start ไปที่ Programs
2. คลิกเมาส์เพื่อเลือก Microsoft Word จะปรากฏหน้าต่างของ Microsoft Word
1. คลิกปุ่ม Start ไปที่ Programs
2. คลิกเมาส์เพื่อเลือก Microsoft Word จะปรากฏหน้าต่างของ Microsoft Word
การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด เพื่อพิมพ์เอกสาร สามารถปฏิบัติดังนี้
1. เลือกแบบตัวอักษร และขนาดตัวอักษรที่ต้องการ
2. พิมพ์ข้อความตามต้องการ
3. การแก้ไขข้อความ
ถ้าต้องการแก้ไขข้อความก็สามารถทำได้ ดังนี้
- เลื่อนเมาส์มาในหน้าเอกสาร เคอร์เซอร์ (Cursor) จะเปลี่ยนเป็น I (I-beam)
- นำเคอร์เซอร์ไปคลิกตรงข้อความที่ต้องการแก้ไข และทำการแก้ไข ดังนี้
การแทรกข้อความ มีขั้นตอนดังนี้
1) ใช้เมาส์คลิกตำแหน่งที่ต้องการแทรก
2) พิมพ์ข้อความที่ต้องการแทรกลงไป
การลบตัวอักษรและข้อความ มีขั้นตอนดังนี้
1) ลบตัวอักษรทีละตัว ทำได้โดยคลิกให้เครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่หลังอักษร แล้วกดปุ่ม Backspace
2) ลบข้อความยาว ๆ ให้คลิกเมาส์ด้านซ้ายค้างไว้ แล้วลากไปที่ข้อความที่ต้องการลบให้เป็นแถบสีดำ แล้วกดปุ่ม Enter หรือ Delete
1. เลือกแบบตัวอักษร และขนาดตัวอักษรที่ต้องการ
2. พิมพ์ข้อความตามต้องการ
3. การแก้ไขข้อความ
ถ้าต้องการแก้ไขข้อความก็สามารถทำได้ ดังนี้
- เลื่อนเมาส์มาในหน้าเอกสาร เคอร์เซอร์ (Cursor) จะเปลี่ยนเป็น I (I-beam)
- นำเคอร์เซอร์ไปคลิกตรงข้อความที่ต้องการแก้ไข และทำการแก้ไข ดังนี้
การแทรกข้อความ มีขั้นตอนดังนี้
1) ใช้เมาส์คลิกตำแหน่งที่ต้องการแทรก
2) พิมพ์ข้อความที่ต้องการแทรกลงไป
การลบตัวอักษรและข้อความ มีขั้นตอนดังนี้
1) ลบตัวอักษรทีละตัว ทำได้โดยคลิกให้เครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่หลังอักษร แล้วกดปุ่ม Backspace
2) ลบข้อความยาว ๆ ให้คลิกเมาส์ด้านซ้ายค้างไว้ แล้วลากไปที่ข้อความที่ต้องการลบให้เป็นแถบสีดำ แล้วกดปุ่ม Enter หรือ Delete
4. การพิมพ์เอกสารในกระดาษ มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
1) คลิกที่เมนู File เลือกคำสั่งพิมพ์ จะปรากฏหน้าต่างการพิมพ์ขึ้น
2) กำหนดเครื่องพิมพ์ที่ใช้
3) เลือกส่วนของระยะหน้า เช่น
- พิมพ์ทั้งหมด เครื่องจะพิมพ์ทุกหน้าที่อยู่ในแฟ้ม
- หน้าปัจจุบัน เครื่องจะพิมพ์หน้าที่มีเครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่
- หน้า ให้ระบุหน้าที่จะพิมพ์ เช่น 1-5, 8-10
4) เลือกจำนวนชุด ตอบเป็นชุด แล้วคลิกปุ่มตกลง
1) คลิกที่เมนู File เลือกคำสั่งพิมพ์ จะปรากฏหน้าต่างการพิมพ์ขึ้น
2) กำหนดเครื่องพิมพ์ที่ใช้
3) เลือกส่วนของระยะหน้า เช่น
- พิมพ์ทั้งหมด เครื่องจะพิมพ์ทุกหน้าที่อยู่ในแฟ้ม
- หน้าปัจจุบัน เครื่องจะพิมพ์หน้าที่มีเครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่
- หน้า ให้ระบุหน้าที่จะพิมพ์ เช่น 1-5, 8-10
4) เลือกจำนวนชุด ตอบเป็นชุด แล้วคลิกปุ่มตกลง
5. การจัดเก็บเอกสาร มีขั้นตอนดังนี้
1) เลือกเมนู File แล้วคลิกที่ Save หรือ Save As จะปรากฏหน้าต่าง Save As ขึ้น
2) เลือกที่สำหรับจัดเก็บ
3) ตั้งชื่อไฟล์
1) เลือกเมนู File แล้วคลิกที่ Save หรือ Save As จะปรากฏหน้าต่าง Save As ขึ้น
2) เลือกที่สำหรับจัดเก็บ
3) ตั้งชื่อไฟล์
4) คลิก Save
6. การปิดเอกสารและออกจากโปรแกรม
1) ถ้าปิดเอกสาร ถ้าต้องการปิดเอกสารให้กดปุ่ม X ที่อยู่มุมขวาของเอกสารนั้น
ถ้าเอกสารนั้นยังไม่ได้ Save จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามว่าต้องการ Save หรือไม่ ถ้าต้องการให้คลิกที่ใช่ (Yes) ถ้าไม่ต้องการให้คลิกที่ไม่ใช้ (No) แต่ถ้าต้องการยกเลิกการปิดเอกสารให้คลิกที่ยกเลิก (Cancel)
2) การออกจากโปรแกรม มีขั้นตอนดังนี้
(1) คลิกที่เมนู File
(2) เลือกที่ Exit หรือคลิกที่ปุ่ม X ที่มุมขวาของโปรแกรม
1) ถ้าปิดเอกสาร ถ้าต้องการปิดเอกสารให้กดปุ่ม X ที่อยู่มุมขวาของเอกสารนั้น
ถ้าเอกสารนั้นยังไม่ได้ Save จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามว่าต้องการ Save หรือไม่ ถ้าต้องการให้คลิกที่ใช่ (Yes) ถ้าไม่ต้องการให้คลิกที่ไม่ใช้ (No) แต่ถ้าต้องการยกเลิกการปิดเอกสารให้คลิกที่ยกเลิก (Cancel)
2) การออกจากโปรแกรม มีขั้นตอนดังนี้
(1) คลิกที่เมนู File
(2) เลือกที่ Exit หรือคลิกที่ปุ่ม X ที่มุมขวาของโปรแกรม
วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หน่วยที่ 2 องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ซึ่งสามารถเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ เช่น จอภาพ แป้นพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ลักษณะการทำงานภายในฮาร์ดแวร์เราสามารถแบ่งออกเป็น 4 หน่วย คือ
1.1 หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
เป็นส่วนที่ทำหน้าที่รับข้อมูลและคำสั่งต่างๆ จากผู้ใช้งาน โดยป้อนข้อมูลผ่านอุปกรณ์ประเภทต่างๆ ได้แก่ เมาส์ แป้นพิมพ์ สแกนเนอร์ ไมโครโฟน
1.2 หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)
ทำหน้าที่ประมลผลข้อมูล ปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมาจากหน่วยรับข้อมูล และควบคุมการปฏิบัติงานของคอมพิวเตอร์ ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของคนเรา ที่มีหน้าที่คิดคำนวณและควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
1.3 หน่วยความจำ (Memory Unit)
เป็นส่วนที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล คำสั่ง ที่รับเข้ามาจากหน่วยรับข้อมูล และผลลัพธ์ต่างๆ ที่ได้จากการประมวลผล
1.4 หน่วยแสดงผล (Output Unit)
เป็นส่วนที่ใช้แสดงผลลัพธ์ที่ได้รับการประมวลผลแล้ว ผ่านอุปกรณ์ที่สามารถแสดงผลได้ เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ ลำโพง เป็นต้น
คำถามชวนคิด : แรม (RAM) กับ รอม (ROM) ต่างกันตรงไหนครับ
คำถามนี้มีคำตอบ :
แรม (RAM) กับ รอม (ROM) เหมือนกันที่ เป็นหน่วยความจำมีไว้เก็บข้อมูล จำเป็นต้องใช้ในการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่มีความแตกต่างกันคือ แรม (RAM) สามารถเขียนและอ่านข้อมูลได้แต่ต้องใช้ไฟเลี้ยวอยู่ตลอดเวลา หากไฟดับข้อมูลที่อยู่ระหว่างการประมวลผลจะหายไป ส่วน รอม (ROM) ไม่จำเป็นต้องมีไฟเลี้ยงก็สามารถเก็บข้อมูลได้ แต่อ่านข้อมูลได้อย่างเดียว ไม่สามารถบันทึกเพิ่มเติมได้
2. ซอฟต์แวร์ (Software)
ซอฟต์แวร์ บางครั้งเรียกว่า โปรแกรม หรือ ชุดคำสั่ง ที่เขียนขั้นมาเพื่อสั่งให้อาร์ดแวร์ทำงานต่างๆ ตามความต้องการ ถ้าไม่มีซอฟร์แวร์เราก็จะไม่สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
2.1 ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)
คือ โ)รแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่างให้สามารถทำงานอื่นๆ ได้อย่างถูกต้อง ซอฟต์แวร์ระบบที่เป้นที่รู้จักกันดี คือ Dos, Windows, Unix, Linux เป็นต้น
2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
คือ โปราแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ใช้ต้องการ ตัวอย่างซอฟต์แวร์ประยุต์ที่นิยมใช้ ได้แก่ Microsoft Word, Microsoft PowerPoint, Paint, Internet Explorer และเกมต่างๆ
3. บุคลากร (Peopleware)
หมายถึง บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับคอมาพิวเตอร์ ซึ่งจะต้องมีความรู้เกี่ยวกบคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานหรือสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการได้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
3.1 ผู้จัดการระบบ (System Manager)
คือ ผู้กำหนดนโยบายการใช้โปรแกรมหรือคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมาย

3.2 นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
คือ ผู้ที่มีหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์ระบบ เพื่อดูความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของการนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับระบบงานภายในองค์กร
3.3 โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ทำงานตามความต้่องการของผู้ใช้ โดยจะเขียนตามที่นักวิเคราะห์ระบบได้วางไว้

3.4 ผู้ใช้ (User)
คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ที่ต้องรู้วิธีการใช้เครื่อง และใช้งานโปรแกรม เพื่อให้สามารถทำงานตามที่ต้องการได้
4. ข้อมูลและสารสนเทศ(Data and Information)
ข้อมูลสารสนเทศ เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการประมวลผล ซึ่งคอมพิวตเอร์จะประมวลผลตามข้อมูลหรือสารสนเทศที่ป้อนเข้าสู่หน่วยรับข้อมูล ถ้าชข้อมูลที่ป้อนเข้าไปมีความถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้
ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงที่ได้จาการรวบรวม ซึ่งอาจจะเป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือเสียง เืพ่อให้ระบบคอมพิวตอร์ทำการประมวลผลให้ได้สารสนเทศ
สารสนเทศ (Information) หมายถึง สิ่งที่ได้จากการนำเอาข้อมูลมาประมวลผล ซึ่งในบางครั้งสารสนเทศอาจจะเป็นข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล เพื่อให้ได้สารสนเทศอีกอย่างหนึ่งก็ได้
5. กระบวนการทำงาน (Procedure)
กระบวนการทำงาน เป็นขึ้นตอนที่ผู้ใช้ต้องทำตาม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หรือสารสนเทศจากคอมพิวเตอร์ และในการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ สิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่ง คือ ผู้ใช้ทุกคนจะต้องเข้าใจขั้นตอนการทำงานเพื่อให้สามารถทำงานได้ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง กระบวนการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในตู้ ATM
การใช้เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) เพื่อถอนเงิน มีกระบวนการทำงาน ดังนี้
ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ปกติจะมีขั้นตอนที่สลับซับซ้อน ดังนั้น ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องศึกษาหรือมีคู่มือประกอบการใช้งาน เพื่อให้สามารถทำงานได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
บิต (BIT) กับ ไบต์ (BITE) อะไรใหญ่กว่ากันนะ
คอมพิวเตอร์ก็มีหน่วยในการวัดเหมอืนกับเครื่องชั่งหรือเครื่องวัดทั่วๆ ไป หน่วยคอมพิวเตอร์พื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่ใช้กันคือ บิต และ ไบต์ ซึ่งใช้บอกปริมาณข้อมูลที่บันทึกในเครื่องคอมพิวเตอร์
บิต (BIT) คือ หน่วยนับที่เล็กที่สุดของข้อมูลคอมพิวเตอร์ บิตถูกแสดงผลได้โดยใช้เลขเพียงสองตัว คือ 0 และ 1 เท่านั้น ทุกครั้งที่เรากดปุ่มบนแป้นพิมพ์ จะมีสัญญาณขนาด 1 บิตส่งข้อมูลออกไปและบันทึกผลในคอมพิวเตอร์
ไบต์ (BITE) ใน 1 ใบต์ จะเท่ากับ 8 บิต หนึ่งตัวอักษรของภาษาอังกฤษ ภาษาไทยหรือตัวเลขหนึ่งตัว ต้องใช้ 1 ไบต์ ่วนตัวอักษรเกาหลีหรือจีนจะใช้ 2 ไบต์ การเขียนบอกหน่วยเหล่านี้ ไบต์จะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ B ส่วนบิตจะใช้ตัวพิมพ์เล็ก b คราวนี้ เราคงทราบคำตอบแล้วนะครับว่าบิตกับไบต์อะไรใหญ่กว่ากัน
วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หน่วยที่ 3 ทักษะการใช้เมาส์
รูปภาพและควาหมายของเมาส์ (MOUSE)
หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้วิธีการกดหรือใช้ลากวนไปมา ใต้ตัวเมาส์จะมีลูกกลิ้งกลม ๆ ซึ่งจะทำให้ตัวชี้ตำแหน่ง (cursor) เคลื่อนย้ายไปยังทิศทางต่าง ๆ ได้ โดยปกติ เมาส์ของพีซีจะมี 3 ปุ่ม ส่วนใหญ่จะใช้ปุ่มทางด้านซ้าย ระบบวินโดว์ 95 มีการใช้ปุ่มทางขวาของเมาส์มากขึ้น ส่วนเมาส์ของแมคอินทอชจะมีปุ่มเดียว การใช้เมาส์จะมี 3 ลักษณะ คือ กดที่ปุ่มซ้ายหรือขวาเพียงครั้งเดียวเพื่อเลือกคำสั่ง หรือกำหนดภาพ ฯ กด 2 ครั้ง ติด ๆ กันเพื่อเริ่มต้นโปรแกรมหรือเปิดแฟ้มข้อมูล กับกดแล้วลากเพื่อเคลื่อนย้ายข้อความหรือภาพ
เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับควบคุมตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพให้ผู้ใช้สั่งงานโดยการกดปุ่มบนเกมส์ เช่น การเลือกเมนูคำสั่ง การย้ายข้อความ โดยทั่วไปเมาส์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน อาจมีปุ่มกด 2 ปุ่ม หรือมากกว่า แต่ที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะเป็นแบบ 2 ปุ่ม คือ ปุ่มซ้ายและขวา โดยมีลักษณะการใช้งานดังต่อไปนี้ ...
คลิก (Click) หรือการคลิกซ้าย
เลื่อนตัวชี้เมาส์ไปตำแหน่งที่ต้องการเลือกคลิกแล้วปล่อยที่ปุ่มด้านซ้ายของเมาส์ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการเลือกไอคอนหรือปุ่มคำสั่งหรือคลิกเลือกเมนูที่ต้องการ
คลิกขวา (Right - Click)
เลื่อนตัวชี้เมาส์ไปตำแหน่งที่ต้องการเลือกคลิกแล้วปล่อยที่ปุ่มด้านซ้ายของเมาส์ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการเลือกไอคอนหรือปุ่มคำสั่งหรือคลิกเลือกเมนูที่ต้องการ
ดับเบิลคลิก (Double - Click)
แดรก (Drag)
เลื่อนตัวชี้เมาส์ไปตำแหน่งที่ต้องการเลือกกดที่ปุ่มด้านซ้ายของเมาส์ค้างไว้ พร้อมกับลากเมาส์ไปในทิศทางที่ต้องการ มักใช้ในการเคลื่อนย้ายวัตถุ หรือการสร้างขอบเขตของการเลือกวัตถุ
หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้วิธีการกดหรือใช้ลากวนไปมา ใต้ตัวเมาส์จะมีลูกกลิ้งกลม ๆ ซึ่งจะทำให้ตัวชี้ตำแหน่ง (cursor) เคลื่อนย้ายไปยังทิศทางต่าง ๆ ได้ โดยปกติ เมาส์ของพีซีจะมี 3 ปุ่ม ส่วนใหญ่จะใช้ปุ่มทางด้านซ้าย ระบบวินโดว์ 95 มีการใช้ปุ่มทางขวาของเมาส์มากขึ้น ส่วนเมาส์ของแมคอินทอชจะมีปุ่มเดียว การใช้เมาส์จะมี 3 ลักษณะ คือ กดที่ปุ่มซ้ายหรือขวาเพียงครั้งเดียวเพื่อเลือกคำสั่ง หรือกำหนดภาพ ฯ กด 2 ครั้ง ติด ๆ กันเพื่อเริ่มต้นโปรแกรมหรือเปิดแฟ้มข้อมูล กับกดแล้วลากเพื่อเคลื่อนย้ายข้อความหรือภาพ
เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับควบคุมตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพให้ผู้ใช้สั่งงานโดยการกดปุ่มบนเกมส์ เช่น การเลือกเมนูคำสั่ง การย้ายข้อความ โดยทั่วไปเมาส์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน อาจมีปุ่มกด 2 ปุ่ม หรือมากกว่า แต่ที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะเป็นแบบ 2 ปุ่ม คือ ปุ่มซ้ายและขวา โดยมีลักษณะการใช้งานดังต่อไปนี้ ...
คลิก (Click) หรือการคลิกซ้าย
เลื่อนตัวชี้เมาส์ไปตำแหน่งที่ต้องการเลือกคลิกแล้วปล่อยที่ปุ่มด้านซ้ายของเมาส์ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการเลือกไอคอนหรือปุ่มคำสั่งหรือคลิกเลือกเมนูที่ต้องการ
|
คลิกขวา (Right - Click)
เลื่อนตัวชี้เมาส์ไปตำแหน่งที่ต้องการเลือกคลิกแล้วปล่อยที่ปุ่มด้านซ้ายของเมาส์ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการเลือกไอคอนหรือปุ่มคำสั่งหรือคลิกเลือกเมนูที่ต้องการ
ดับเบิลคลิก (Double - Click)
แดรก (Drag)
เลื่อนตัวชี้เมาส์ไปตำแหน่งที่ต้องการเลือกกดที่ปุ่มด้านซ้ายของเมาส์ค้างไว้ พร้อมกับลากเมาส์ไปในทิศทางที่ต้องการ มักใช้ในการเคลื่อนย้ายวัตถุ หรือการสร้างขอบเขตของการเลือกวัตถุ
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1.1ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีบทยาทมาก เช่น มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อสืบค้นข้อมูล หรือรับขส่งข้อมูลระหว่างกัน ตลอดใช่โทรศัพท์เครื่องที่(mobile phone) หรือโทรศัพท์มือถือในการติดต่อสื่อสารองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเข้ามาใช้งานในทุกระดับชั้นขององค์กร
คำว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information Technology: IT )เรียกย่อว่า"ไอที"ประกอบด้วยคำว่า"เทคโนโลยี" และคำว่า"สารสนเทศ" นำมาร่วนกันเป็น"เทคโนโลยีสารสนเทศ" และคำว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( Information and Communication Technology: ICT ) หรือเรียกย่อว่า"ไอซีที"ประกอบด้วยคำที่มีความหมายดังนี้
เทคโนโลยี่( Technology ) หมายถึง การนำความมรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ในการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ วิธีการและกระบวนการ
สารสนเทศ( Information ) หมายถึง ผลลัพธ์ที่เกดจากการนำข้อมูลมาผ่านกระบวนการต่างๆ อย่างมีระบบ
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างหรือจัดการสารสนเทศอย่างเป็นระบบและรวดเร็ว โดยอาศัยเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามแผ่นแม่บท เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประเทศไทย พ.ศ. 2545-2549 หมายถึง เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับข่าวสารข้อมูล และการสื่อสารนับตั้งแต่การสร้าง การนำมาวิเคราะห์หรือการประมวลผล
1.2 องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
ระบบสารสนเทศ เป็นระบบที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานโดยใช่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบบสารสนเทศประกอบด้วย
1.2.1 ฮาร์ดแวร์ ( hardware ) หมายถึง ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เช่น คีย์บอร์ด ( keyboand ) เมาส์ ( mouse ) จอภาพ ( monitor ) เป็นต้น รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสำหรับเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย เช่น โมเ็ด็ม ( modem ) และ สายสัญญาณ
1.2.2 ชอฟต์แวร์ ( soflware ) หมายถึง โปรแกรมหรือชุดคำสั่ง ( instruction ) ที่ใช่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ชุดคำสั่งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
ซอฟต์แวร์ระบบ ( system software ) หมายถึงชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ และทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ระบบแบ่งออกเป็น
1) ระบบปฏิบัติการ ( Operating System: OS ) เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดภายในคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ เช่น วินโดวส์( Windowns ) ลินุกซ์ ( Linux ) และ แมคโอเอส ( Mac OS )
2) โปรแกรมอรรถประโยชน์ ( utilities program ) เป็นโปรแกรมที่ช่วยเสริมการทำงานของคอมพิวเตอร์ หรือช่วยเสริมการทำงานอื่นๆให้มีความสามารถใช่วานได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
3)โปรแกรมขับอุปกรณ์ หรือดีไวซ์ไดร์ฟเวอร์ ( device driver ) เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการติดตั้งระบบเพื่อให้คอมพิวเตอรืสามารถติดต่อหรือใช่งานอุปกรณ์ต่างๆ
4) โปรแกรมแปลภาษา เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงให้เป็นรหัสที่อยู่ในรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ ดังรูปที่ 1.9 ตัวอย่างตัวแปลภาษา เช่น ตัวแปลภาษาจาวา ตัวแปลภาษาซี
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software) หมายถึง ชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง ซอฟต์แวร์ประยุกต์อาจเขียนขึ้นโดยใช้โปรแกรม ภาษาคอมพิวเตอร์ เช่น เบสิก (Basic) ปาสคาล (Pascal) โคบอล (Cobol) ซี (C) ซีพลัสพลัส (C++) และจาวา (Java) ซอฟต์แวร์ประยุกต์แบ่งตามกลุ่มการใช้งานได้ดังตารางที่ 1.1
1.2.3 ข้อมูล (data) ข้อมูลจะถูกรวบรวมและป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์โดยผ่านอุปกรณ์ของหน่วยรับเข้า เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และสแกนเนอร์ (scanner) ข้อมูลต้องมีโครงสร้างในการจัดเก็บที่เป็นระบบเพื่อการสืบค้นที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บอยู่ในหน่วยความจำ (memory unit) ก่อนที่จะถูกย้ายไปเก็บที่หน่วยเก็บข้อมูล (storage unit) เช่น ฮาร์ดดิสก์ และแผ่นซีดี (Compact Disc: CD)
1.2.4 บุคลากร (people)บุคลากรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของระบบสารสนเทศ ในที่นี้หมายถึงบุคลากรที่เป็นผู้ใช้ระบบสารสนเทศ ดังรูปที่ 1.11 บุคลากรที่เป็นผู้พัฒนาระบบสารสนเทศ จะต้องมีความรู้ความสามารถในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพให้สามารถทำงานได้ตามความต้องการของผู้ใช้ใช้ง่ายและสะดวก ส่วนผู้ใช้ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีความสามารถในการใช้งานระบบสารสนเทศและการสื่อสารต่างๆ ได้อย่างถูกต้องจึงจะเกิดสารสนเทศที่เป็นประโยชน์
1.2.5 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (procedure) ระบบสารสนเทศต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นลำดับขั้นชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่าย และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูล ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อข้อมูลได้รับความเสียหาย หรือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ เกิดการชำรุดเสียหาย ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ควรได้รับการรวบรวมและจัดทำให้เป็นรูปเล่ม
1.3 ประโยชน์และตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1.3.1 ด้านการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนำมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารด้านการบริหารด้านการศึกษา เช่น ระบบการลงทะเบียน และระบบการจัดตารางสอน นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มโอกาสทางด้านการศึกษาและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน
1.3.2 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนำมาใช้เริ่มตั้งแต่การทำทะเบียนคนไข้ การรักษาพยาบาลทั่วไป ตลอดจนการวินิจฉัยและรักษาโรคต่างๆได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ยังใช้ในห้องทดลอง การศึกษาและการวิจัยทางการแพทย์ งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี สามารถค้นคว้าข้อมูลทางการแพทย์ รักษาคนไข้ด้วยระบบการรักษาทางไกลตลอดเวลาผ่านเครือข่ายการสื่อสาร เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า อีเอ็มไอสแกนเนอร์ (EMI scanner) ถูกนำมาถ่ายภาพสมองมนุษย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในสมอง
1.3.3 ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม เทตโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม เช่น การจัดทำระบบข้อมูลเพื่อการเกษตรและพยากรณ์ผลผลิตด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม การประดิษฐ์หุ่นยนต์เพื่อใช้ทำงานบ้าน และหุ่นยนต์เพื่องานอุตสาหกรรมที่ต้องเสี่ยงภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เฃ่น โรงงานสารเคมี โรงผลิตและการจ่ายไฟฟ้า รวมถึงงานที่ต้องทำซ้ำๆ
1.3.4 ด้านการเงินธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนำมาใช้ในด้านการเงินและการธนาคาร โดยใช้ช่วยด้านการบัญชี การฝากถอนเงิน โอนเงิน บริการสินเชื่อ และเปลี่ยนเงินตรา บริการข่าวสารธนาคาร การใช้คอมพิวเตอร์ด้านการเงินการธนาคารที่รู้จักและนิยมใช้กันทั่วไป เช่น บริการฝากถอนเงิน การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์
1.3.5 ด้านความมั่นคง มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกันอย่างแพร่หลาย เช่น ใช้ในการควบคุมประสานงานวงจรสื่อสารทหาร การแปลรหัสลับในงานจารกรรมระหว่างประเทศ การส่งดาวเทียมและการคำนวณวิถีโคจรของจรวดไปสู่อวกาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศไทยมีศูนย์ประมวลข่าวสาร มีระบบจัดทำทะเบียนปืน ทะเบียนประวัติอาชญากร ทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูลเพื่อการสืบสวนคดีต่างๆ
1.3.6 ด้านการคมนาคม มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง เช่น การเดินทางโดยรถไฟ มีการเชื่อมโยงข้อมูลการจองที่นั่งไปยังทุกสถานี ทำให้สะดวกต่อผู้โดยสาร การเช็คอินของสายการบิน ได้จัดทำเครื่องมือที่สะดวกต่อลูกค้า ในรูปแบบของการเช็คอินด้วยตนเอง
1.3.7 ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการออกแบบ หรือจำลองสภาววการณ์ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดิวไหว โดยการคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง
1.3.8 ด้านการพาณิชย์ องค์กรในภาคธุรกิจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการบริหารจัดการ เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับองค์กรในการทำงาน ทำให้การประสานงานหรือการทำกิจกรรมต่างๆ ของแต่ละหน่วยงานในองค์กรหรือระหว่างองค์กรเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ปรับปรุงการให้บริการกับลูกค้าทั่วไป สิ่งเหล่านี้นับเป็นการสร้างโอกาสความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์กร
1.4 แนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
1.4.1 ด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เมื่อพิจารณาเครือข่ายการสื่อสารทั่วไปจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ใช้อุปกรณ์การสื่อสารแบบพกพามากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากวิทยุเรียกตัว (pager) ซึ่งเป็นเครื่องรับข้อความ มาเป็นถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์สื่สารชนิดนี้ได้ถูกพัฒนาจนสามารถใช้งานด้านอื่นๆได้ นอกจากการพูดคุยธรรมดา โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่สามารถใช้ถ่ายรูป ฟังเพลง ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ บันทึกข้อมูงสั้นๆ บางรุ่นมีลักษณะเป็นเครื่องช่วยงานส่วนบุคคล (Personal Digital Assistant : PDA) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ อีกทั้งยังมีหน้าจอแบบสัมผัส ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น บางรุ่นมีอุปกรณ์สไตลัส (stylus)
1.4.2 ด้านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครื่องข่ายคอมพิวเตอร์ในอดีตมังเป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อตรงโดยจุดเดียว (stand alone) ต่อมามีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันภายในองค์กร เพื่อทำให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกัน หรือใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกัน จนเกิดเป็นระบบรับและให้บริการ หรือที่เรียกว่าระบบรับ-ให้บริการ (client-server system) โดยมีเครื่องให้บริการ (server) และเครื่องรับบริการ (client) การให้บริการบนเว็บก็นำหลักการของระบบรับ-ให้บริการมาใช้ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น สะดวก รวดเร็ว เพราะสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยมีเว็บเซอร์เวอร์ (web server) เป็นเครื่องให้บริการ
1.4.3 ด้านเทคโนโลยี ระบบทำงานอัตโนมัติที่สามารถตัดสินใจได้เองจะเข้ามาแทนที่มากขึ้น เช่น ระบบแนวนำเส้นทางจราจร ระบบจอดรถ ระบบตรวจหาตำแหน่งของวัตถุ ระบบควบคุมความปลอดภัยภายในอาคาร ระบบที่ทำงานอัตโนมัติเช่นนี้ อาจกลายเป็นระบบหลักในการดำเนินการของหน่วยงานต่่างๆ โดยเข้ามาแทนที่การทำงานของมนุษย์ มีการเชื่อมต่ออย่างกว้างขวางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
1.5 ความเปลี่ยนแปลงจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ความก้าวหน้าของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสรเทศและการสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อนสนองความต้องการด้านต่างๆ ของผู้ใช้ปัจจุบันซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานเทคโนโลยีสารสรเทศและการสื่อสารทั่วโลกประมาณพันล้านคน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวได้ทุกที่ ทุกเวลา จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆทั้งที่้เกิดประโยชน์และโทษ เช่น
1. ด้านสังคม สภาพเสมือนจริง การใช้อินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงการทำงานต่างๆ จนเกิดเป็นสังคมที่ติดต่อผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือที่รู้จักกีนว่า ไซเบอรฺ์สเปช (cyber space) ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ เช่นการพูด การชื้อสินค้า และบริการ การทำงานผ่านเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดสภาพที่เสมือนจริง (virtual) เช่น เกมส์เสมือนจริง ห้องเรียนเสมือนจริง ซึ่งทำให้ลดเวลาในการเดินทางและสามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา
2. ด้านเศรษกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารส่งผลให้เกิดสังคมโลกาภิวัตน์(globalization) เพราะสามารถชมข่าว ชมรายการโทรทัศนที่ส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลก สามารถรับรู้ข่าวสารได้ทันที ใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ระบบเศรษกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจำกัดภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษญกิจโลก เกิดกระแสการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกจึงเชื่อมโยงและผูกพันกันมากขึ้น
3. ด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีประโยชน์ในด้านธรรมชาติและและสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม หรือภาพถ่ายทางอากาศ ร่วมกับการจัดเก็บรักษาข้อมูลระดับน้ำทะเล ความสูงของคลื่นจากระบบเรดาร์ เป็นการศึกษาเพื่อหาสาเหตุ และนำข้อมูลมาวางแผนและสร้างระบบเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแต่ละแห่งได้อย่างเหมาะสม
1.6 ตัวอย่างอาชีพทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ตลาดแรงงานต้องการผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างแท้จริง ซึ่งงานด้านนี้จะรวมถึง งานด้านการออกแบบโปรแกรมต่างๆ โปรแกรมใช้งานบนเว็บ งานด้านการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ งานด้านฐานข้อมูล งานด้านระบบเครือข่ายทั้งในและนอกองค์กร รวมถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในระบบคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย ดังนั้นองค์กรจึงมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการ และพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อใช้งานด้านต่างๆขององค์กร ตัวอย่างอาชีพด้านเทคโลโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น
1. นักเขียนโปรมแกรมหรือโปรแกรมเมอร์ (programmer)
ทำหน้าที่ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในงานด้านต่างๆ เช่น โปรมแกรมเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า โปรแกรมที่ใช้กับงานด้านบัญชี หรือโปรแกรมที่ใช้กับระบบงานขนาดใหญ่ขององค์กร
2. นักวิเคราะห์ระบบ (system analyst)
ทำหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์และพัฒนาระบบสารสนเทศ นักวิเคราะห์ระบบจะทำการวิเคราะห์ระบบงานและออกแบบระบบสารสนเทศให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งอาจรวมถึงงานด้านการออกแบบฐานข้อมูลด้วย
3. ผู้ดูแลและบริหารฐานข้อมูล (database administrator)
ทำหน้าที่บริหารและจัดการฐานข้อมูล (database) รวมถึงการออกแบบ บำรุงรักษาข้อมูล และการดูแลระบบความปลอดภัยของฐานข้อมูล เช่น การกำหนดบัญชีผู้ใช้ การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้
4. ผู้ดูแลและบริหารระบบ(system administrator)
ทำหน้าที่บริหารและจัดการระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร โดยดูแลการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบปฎิบัติการ การติดตั้งฮาร์ดแวร์ สร้าง ออกแบบและบำรุงรักษาบัญชีผู้ใช้ สำหรับองค์กรขนาดเล็กเจ้าหน้าที่ความคุมระบบอาจต้องดูแลและบริหารระบบเครือข่ายด้วย
5. ผู้ดูแลและบริหารระบบเครือข่าย (network administrator)
ทำหน้าที่บริหารและจัดการออกแบบระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และดูแลรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายขององค์กร เช่น ตรวจสอบการใช้งานเครือข่ายของพนักงานและติดตั้งโปรแกรมป้องกันผู้บุกรุกเครือข่าย
6. ผู้พัฒนาและบริหารระบบเว็บไซต์ (webmaster)
ทำหน้าที่ออกแบบพัฒนา ปรับปรุงและบำรุงรักษาเว็บไซต์ให้มีความทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
7. เจ้าหน้าที่เทคนิค (technician)
ทำหน้าที่ซ่อมบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ ติดตั้งโปรแกรม หรือติดตั้งฮาร์ดแวร์ต่างๆและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในองค์กร
8. นักเขียนเกม (game maker)
ทำหน้าที่เขียนหรือพัฒนาโปรแกรมเกมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้การเขียนโปรมแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอาชีพได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)